ตอนวันที่ 14 ก.ย.ที่ศาลปกครอง ถนนหนทางเเจ้งวัฒนะ ศาลปกครองกึ่งกลางนัดหมายอ่านคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัยก่อนนายกฯ เเละอดีตกาลปลัดกระทรวงเที่ยงธรรม ยื่นฟ้อง กระทรวงแรงงาน,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน,แผนกอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงแรงงาน (อำเภอกุมภาพันธ์ กระทรวงแรงงาน),คณะกรรมการป้องกันระบบคุณความดี และก็ คณะกรรมการปกป้องแล้วก็ล้มล้างการคดโกงแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-5
คดีนี้ผู้ฟ้องร้องฟ้องว่า เดิมผู้ฟ้องรับราชการตำแหน่งปลัดกระทรวงเป็นกลาง และก็ถัดมาได้เข้ารับราชการในตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงานจนกระทั่งพ้นจากตำแหน่ง ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามความเห็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้มีคำบัญชาที่ 39/2552 ระบุวันที่ 21 ม.ค. 2552 ลงอาญาปลดผู้ฟ้องศาลออกมาจากราชการ โดยกล่าวถึงว่าผู้ฟ้องร้องทำหน้าที่ราชการด้วยความประมาทและสะเพร่าอย่างร้ายแรง กรณีผู้ฟ้องในฐานะปลัดกระทรวงเป็นธรรมพิเคราะห์สั่งหยุดเรื่องไม่ฟ้องร้องคดีกับ นายราว ตียะไพบูลย์สิน อดีตกาลอธิบดีกรมบังคับคดี รวมทั้งนายมานิตย์ สุธาพร อดีตกาลรองอธิบดีกรมบังคับคดี ที่ไม่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม 70 ล้านบาท จากการขายทอดตลาดที่ดินของศาลจังหวัดร่ำรวยบุรี ทั้งๆที่คณะกรรมการสอบเรื่องจริงมีความคิดเห็นว่าการคืนเงินดังที่กล่าวมาแล้วไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทำให้ทางการเสียหาย
ผู้ฟ้องร้องได้อุทธรณ์คำบัญชาดังกล่าวข้างต้นแล้ว แม้กระนั้นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ตรึกตรองชูอุทธรณ์ของผู้ฟ้องศาล
ผู้ฟ้องศาลมีความเห็นว่าคำบัญชาลงอาญาทางระเบียบปลดผู้ฟ้องร้องออกมาจากราชการรวมทั้งคำพิพากษาอุทธรณ์ของผู้ฟ้องไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ก็เลยนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้
1. ยกเลิกคำบัญชากระทรวงแรงงานที่ 39/2552 ระบุวันที่ 21 เดือนมกราคม 52 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1และก็ที่ 2 ที่ลงอาญาปลดผู้ฟ้องศาลออกมาจากราชการ
2. ยกเลิกความเห็นชอบการสัมมนา อำเภอเดือนกุมภาพันธ์ กระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 9/2551 ตอนวันที่ 19 เดือนธันวาคม 51 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
3.เลิกคำตัดสินของคณะกรรมการคุ้มครองระบบความดี เรื่องดำ 5210006 เรื่องแดงที่ 0012155 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4
4. ล้มเลิกความเห็นคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำหรับในการสัมมนาครั้งที่ 61/2551 ระบุวันที่ 16 เดือนตุลาคม 2551 ที่ลงความเห็นว่าผู้ฟ้องกระทำผิด ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5
โดยศาลพิจารณาแล้วมีความคิดเห็นว่า มาตรา 250 ของ รัฐธรรมนูญ 50 ข้อบังคับว่า คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่สอบปากคำและก็วิเคราะห์ว่าข้าราชการของเมืองตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง หรือเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งครอบครองตำแหน่งตั้งแต่ผู้อำนวยการกองหรือเสมอกันขึ้นไปมีเงินมีทองไม่ปกติ ทำ ความผิดพลาดฐานคดโกงต่อหน้าต่อตาที่ หรือทำความผิดต่อตำแหน่งงานราชการ หรือความผิดพลาดต่อ ตำแหน่งงานสำหรับการเที่ยงธรรม แล้วก็จัดการกับข้าราชการของเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐในระดับ ต่ำลงยิ่งกว่าที่ร่วมทำผิดกับผู้ครองตำแหน่งดังกล่าวข้างต้นหรือกับผู้ครอบครองตำแหน่งด้านการเมือง หรือที่กระทำผิดในลักษณะที่คณะกรรมการคุ้มครองแล้วก็ล้มล้างการโกงแห่งชาติ เห็นควรจัดการด้วย ดังนี้ ตาม พ.ราชการเปรียญกล่าวถึงการปกป้องแล้วก็ ทำลายล้างการคดโกง ประกอบกับมาตรา 19 ที่ พ.ราชการเปรียญเกี่ยวกับ การปกป้องคุ้มครองและก็ทำลายล้างการโกงฯ ข้อกำหนดว่า คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีอำนาจ หน้าที่สอบสวนแล้วก็วิเคราะห์ว่าข้าราชการของเมืองมั่งมีเปลี่ยนไปจากปกติ ทำไม่ดี ฐานคดโกงต่อหน้าต่อตาที่ หรือทำไม่ดีต่อตำแหน่งงานราชการ หรือข้อผิดพลาดต่อตำแหน่ง หน้าที่สำหรับการเป็นธรรม จะมองเห็นได้ว่า บทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญและก็พรเปรียญดังที่กล่าวมาแล้วให้สิทธิผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 สำหรับเพื่อการสอบปากคำและก็วิเคราะห์ว่า ข้าราชการของเมืองมีเงินมีทองแตกต่างจากปกติ กระทำผิดฐานโกงซึ่งๆหน้าที่ หรือทำไม่ดีต่อ ตำแหน่งงานราชการหรือข้อผิดพลาดต่อตำแหน่งงานสำหรับในการชอบธรรม
ซึ่งต่างจากการจัดการทางระเบียบตาม พระราชบัญญัติกฎระเบียบเจ้าหน้าที่รัฐ พุทธศักราช 2535ซึ่งเป็นข้อบังคับทั่วๆไปที่ระบุอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับ การจัดการงานบุคคลรวมทั้งการปฏิบัติการทางระเบียบในกรณีอื่น ที่กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กุมภาพันธ์ เกี่ยวกับการจัดการงานบุคคล ระเบียบ และก็การดูแลและรักษาระเบียบ อันเป็นการแบ่งแยกหน้าที่ ของหน่วยงานต่างๆของเมืองที่จะทำงานในแต่ละในกรณีที่ไม่ซ้ำไปซ้ำมากันและก็เป็นการอุดหนุนกัน
โดยระบุอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5ในส่วนที่จะเกี่ยวโยงกับการทำงานทางระเบียบ เจ้าหน้าที่รัฐเฉพาะในกรณีที่รัฐธรรมนูญรวมทั้งข้อบังคับกล่าวถึงการปกป้องคุ้มครองรวมทั้งทำลายล้างการโกง มอบอำนาจไว้แค่นั้น
ถึงแม้ว่ามาตรา 41เเละ92 เเห่งพ.ราชการเปรียญ กล่าวถึงการคุ้มครองและก็ทำลายล้างการคดโกงฯ จะกำหนดให้ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 สอบสวนข้อสรุปแล้วลงความเห็นว่าข้อกล่าวหาใดมีมูลความผิดพลาดทางระเบียบ ให้ประธานกรรมการส่งรายงาน และก็เอกสารที่มีอยู่ และข้อคิดเห็นไปยังผู้บัญชาการหรือผู้มีอิทธิพลแต่งถอดถอน เพื่อพิเคราะห์โทษทางระเบียบ โดยไม่ต้องแต่งคณะกรรมการสืบสวนระเบียบอีก
แม้กระนั้นเมื่อพินิจพิเคราะห์บทบัญญัติมาตรา 19 เเห่ง พ.ราชการเปรียญดังที่กล่าวถึงมาแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา 250ของรัฐธรรมนูญ ก็เลยมองเห็นได้ว่า อำนาจสำหรับเพื่อการสอบสวนข้อสรุปของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 5 เป็นกรณีกล่าวอ้างว่ารวยไม่ดีเหมือนปกติ ความประพฤติข้อผิดพลาดฐานคดโกงซึ่งๆหน้าที่ หรือทำ ข้อผิดพลาดต่อตำแหน่งงานราชการ หรือความผิดพลาดต่อตำแหน่งงานสำหรับในการเที่ยงธรรมเพียงแค่นั้น ไม่รวมทั้งความประพฤติข้อผิดพลาดฐานประมาทสะเพร่าส่งผลให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นมูลความผิดทางระเบียบ
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5ใช้อิทธิพล ชี้มูลว่าผู้ฟ้องร้องคดีปฏิบัติ ข้อผิดพลาดฐานประมาทประมาทส่งผลให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ก็เลยไร้อำนาจปฏิบัติได้ ส่วนที่ อ้างถึงว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ นั้น เป็นคนละกรณีกับความเห็นชอบของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ในคดีนี้ ซึ่งไม่เหมือนกับกรณีของผู้ฟ้องร้องคดี
คำกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ก็เลยไม่บางทีอาจฟังได้ เมื่อได้วิเคราะห์แล้วว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ไร้อำนาจสอบสวนความจริงแล้วก็ ชี้มูลความไม่ถูกผู้ฟ้องร้อง ในความผิดพลาดฐานประมาทสะเพร่าส่งผลให้เสียหายแก่ราชการ อย่างร้ายแรง ด้วยเหตุนั้น ความเห็นชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 สำหรับเพื่อการสัมมนาครั้งที่ 61/2551 ระบุวันที่ 16 เดือนตุลาคม51 ก็เลยไม่เป็นไปตามกฎหมาย กรณีก็เลยไม่เป็นผลผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งเป็น ผู้บัญชาการของผู้ฟ้องร้องคดีที่จะถือเอารายงานการสอบปากคำข้อสรุปแล้วก็ความคิดเห็นของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5มาเป็นสำนวนการสอบปากคำทางระเบียบของคณะกรรมการซักถามระเบียบ แม้แต่ว่าจำเป็นต้องแต่งคณะกรรมการขึ้นกระทำการสอบปากคำผู้ฟ้องร้องจากที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ลงความเห็นว่า ทำไม่ดีฐานประมาทประมาทส่งผลให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เพื่อผู้ฟ้องซึ่งเป็น ผู้ถูกป้ายความผิดได้รับรู้ข้อกล่าวหาแล้วก็ได้ได้โอกาสแจกแจงรวมทั้งนำสืบแก้ข้อกล่าวหาตามขั้นตอน แล้วก็กรรมวิธีที่กำหนดไว้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีคำบัญชากระทรวงแรงงานลงอาญาปลดผู้ฟ้องออกมาจากราชการ ตามความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายจากที่ได้วิเคราะห์ไว้ ในข้างต้น โดยไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นกระทำการสืบสวนผู้ฟ้องแล้วก็ไม่ได้แจ้ง ข้อกล่าวหาในความผิดพลาดฐานประมาทสะเพร่าส่งผลให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง แก่ผู้ฟ้องศาล คำบัญชาลงอาญาทางระเบียบดังที่กล่าวถึงแล้ว ก็เลยไม่เป็นไปตามกฎหมาย เพราะเหตุว่าไม่ได้ปฏิบัติงานตาม ขั้นตอนหรือกรรมวิธีอันเป็นสาระสำคัญสำหรับการลงทัณฑ์ทางระเบียบ
และก็ย่อมส่งผลทำให้การที่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 มีคำตัดสิน ชูอุทธรณ์ของผู้ฟ้อง ด้วยเหตุแบบเดียวกัน ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดเหมือนกัน
ตัดสินคดีล้มเลิกคำบัญชากระทรวงแรงงาน ที่ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ลงอาญาปลดผู้ฟ้องศาลออกมาจากราชการ และก็คำตัดสินเรื่องของผู้ถูกฟ้องคดีที่4 ที่ชูอุทธรณ์ของผู้ฟ้อง โดยให้ส่งผล ย้อนไปนับจากวันที่คำบัญชาและก็คำตัดสินดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมีผลบังคับ คำร้องขออื่นนอกเหนือจากนั้นให้ชู
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัยก่อนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์คราวหลังว่า วันนี้ตนได้รับความชอบธรรมจากศาลปกครองสูงสุด ที่กล่าวว่าคณะกรรมการปกป้องแล้วก็ล้มล้างการคดโกงแห่งชาติ (สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ไม่มีอิทธิพลสอบสวนคดีของตนเองเพราะเหตุว่าตามรัฐธรรมนูญ 2550 บอกว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทำเป็นเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐคดโกง รวยไม่ปกติหรือคดโกงเฉพาะหน้าที่ ซึ่งปราศจากความเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง โดยเหตุนั้นศาลท่านก็เลยมีคำบัญชาให้เลิกคำบัญชาที่ให้ตนออกมาจากราชการทั้งปวง ซึ่งก็กระปรี้กระเปร่าใจมาก เนื่องจากตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติภารกิจด้วยความซื่อตรงซื่อสัตย์ ไม่เคยมีเรื่องมีราวไม่บริสุทธิ์อะไรเลย เมื่อมาพบแบบงี้ก็จำต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด วันนี้ตนได้รับความเที่ยงธรรมคืนมา จากที่เคยถูกไล่ออกจากราชการ หรือเป็นผู้ถูกให้ออกจากราชการ มาวันนี้เปลี่ยนเป็นคนที่ไม่เคยถูกไล่ออกหรือให้ออกจากราชการ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่บริสุทธิ์ ความโด่งดังที่เสียไปก็ได้กลับมาแม้กระนั้นในระหว่างนี้ได้ต่อสู้มาเกือบจะ 20 ปีกับสิ่งที่ตนไม่สมควรจะถูกสอบปากคำ
นักข่าวถามหาการปฏิบัติการขอคืนสิทธิประโยชน์ที่เสียไป นายสมชาย บอกว่า ขอดูเนื้อหาคำตัดสินของศาลก่อน ส่วนจะทำงานอะไรต่อหรือเปล่านั้น ตนเป็นคนยึดมั่นกฎข้อตกลงหลักเกณฑ์ อะไรที่ไม่ใช่ก็ไม่ยุ่ง อะไรที่ควรจะทำก็จะทำ พวกเราจะไม่แกล้งหรือเอาคืนใครกันแน่ แม้กระนั้นอยากที่จะให้รู้เรื่องว่าที่ตนกล่าวถึง สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไม่ใช่ชุดนี้นะ ไม่เกี่ยวกัน ส่วนจะเรียกร้องค่าเสียหายจากสำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไหมนั้น อาจให้กับข้างข้อบังคับมองว่าควรจะทำอะไร มีข้อบังคับรองรับหรือเปล่า คงจะจำต้องใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง ไม่ทำความลำบากให้คนใดกัน อะไรที่ไม่มีสิทธิ์ก็ไม่ทำ
เมื่อถามคำถามว่าเกียรติศักดิ์ที่เสียหายไป 20 ปีสามารถเรียกร้องอะไรคืนกลับมาได้บ้าง นายสมชาย บอกว่า เคยมีแนวคำตัดสินของศาลฎีกาอยู่ แต่ว่าอาจจำต้องดูซิว่าอะไรที่อะลุมอล่วยได้ ตนก็ไม่ได้อยากเข้าไปข้องเกี่ยวชุลมุน แต่ว่าหากเกิดเรื่องเกี่ยวกับความเสื่อมโทรมของความโด่งดังในฐานะที่จะต้องกลายเป็นผู้ถูกไล่ออกจากราชการ นับว่าเป็นเรื่องรุนแรงที่สุดของเจ้าหน้าที่รัฐทุกคน และก็ตนเป็นถึงปลัดกระทรวงเป็นกลาง เป็นหัวหน้าที่ความชอบธรรมอยู่แล้ว เมื่อพวกเราถูกยัดเยียดข้อหาก็ต่อสู้สุดกำลัง วันนี้ได้รับความชอบธรรม ความเมตตากรุณาจากศาลปกครอง
เมื่อถามคำถามว่าจะปฏิบัติการฟ้องกลับ สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชุดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วหรือเปล่า สมชาย บอกว่า ยังไม่ขอบอกว่าจะปฏิบัติการอะไร จำต้องไปดูในเนื้อหา เพราะเหตุว่าตนบอกแล้วว่าอะไรที่ยกโทษได้ก็พร้อมยกโทษ เว้นแต่ว่าสิ่งที่จะจำเป็นต้องทำเพื่อสิทธิ์ที่สูญเสียคืนมาก็เพียงแค่นั้น ตนมิได้มีความพยาบาทมาดร้ายอะไรก็ตามเพียงต้องการพูดว่าทุกคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมจำเป็นต้องคิดถึงความตรงไปตรงมา เที่ยงธรรม ถ้าหากกระบวนการยุติธรรมไม่มั่นคง ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจะขาดเชื่อถือ ซึ่งศาลปกครองยังคงยังคงเป็นที่พึ่งพิงให้กับสามัญชนได้อย่างแท้จริง
